ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

วัยรุ่นกับความเครียด

วัยรุ่นกับความเครียด


        วัยรุ่นกับความเครียดกลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากทีเดียว จากที่เราเปลี่ยนระบบการสอบ ent. เป็นระบบใหม่ เด็กๆ กำลังอยู่ในช่วงการปรับตัว ทำความเข้าใจกับวิธีการสอบแบบใหม่ หลายคนก็กำลังเครียดอยู่กับเรื่องของการสอบ ก็ดูเหมือนว่าเรื่องของระบบการสอบ ent. จะเป็นเรื่องที่ยังไม่ลงตัวดีนัก ในเรื่องของการที่จะคัดเด็กที่จะเข้าไปสู่ระบบการเรียนในระดับมหาวิทยาลัย จนทำให้ระบบการศึกษาทั้งระบบของเราถูกกดดันด้วยเรื่องของการที่จะต้องดิ้นรนเพื่อไปสู่ความสำเร็จในการสอบ ent. ให้ได้



การจะทำอะไรก็ดูจะมุ่งไปที่ธงของการสอบ ent. ให้ได้เพียงอย่างเดียว เด็กๆ หลายคนมีความเครียดมากทีเดียวและภายใต้สภาวะความเครียดอันนี้ จริงๆ แล้วจะส่งผลเสียกับตัวของเด็กมากทีเดียว เช่น ความสามารถหรือสมาธิการอ่านหนังสือของเขาจะลดลงไปภายใต้ความเครียด เพราะว่าในเวลาที่เกิดความเครียดขึ้น ความคิดอาจจะฟุ้งซ่านหรือหมกมุ่นทำให้พลังงานที่เขาจะสามารถใช้ทำงานในเรื่องอื่นๆ สูญเสียไปกับพลังงานที่เป็นเรื่องของความเครียด และความฟุ้งซ่านเหล่านี้ก็เป็นความกดดันอย่างหนึ่งกับเด็กทีเดียว
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือว่า คนที่อยู่รอบตัวเองหลายคนนั้นนอกจากว่าไม่ได้ตระหนักว่าเด็กมีความเครียดและให้ความช่วยเหลือแล้ว กลับกลายเป็นคนที่ทำให้เด็กมีความเครียดมากยิ่งขึ้น พบว่าคุณพ่อคุณแม่จำนวนมากมีความคาดหวังกับเรื่องการสอบ ent. ของลูกเป็นอย่างมาก หลายคนเครียดยิ่งกว่าลูกอีก หลายๆ คนภายใต้ความเครียดและความคาดหวังอันนี้ได้กดดันให้ลูกรู้สึกเครียดและกังวลตามไปโดยที่คุณไม่ได้ตั้งใจเลย
ก็อยากจะฝากคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยรุ่นกำลังจะสอบ ent. ว่าสิ่งแรกขอให้ลองสำรวจดูว่าลูกของคุณตกอยู่ในภาวะความเครียดรึเปล่า วิธีสังเกตนั้นดูไม่ยากเริ่มต้นให้ดูจากอาการทางร่างกายก่อน เช่น เด็กมีอาการปวดศีรษะอยู่เสมอ หรือบางทีท้องเสียอยู่บ่อยๆ หรือกลางคืนนอนไม่ค่อยหลับกระสับกระส่าย เบื่ออาหารหรือบางทีก็มีเหงื่ออกตามฝ่ามือฝ่าเท้า มีอาการใจสั่น สะดุ้ง ตกใจง่าย
   ส่วนภาวะทางจิตใจอาจจะดูเหมือนวิตกกังวลมาก คิดมากไม่มีสมาธิบางคนหงุดหงิด โกรธง่าย บางคนร้องไห้ง่าย หรือเด็กบางคนสังเกต เห็นว่าเขาสูบบุหรี่บ่อยขึ้น หรือว่าบางครั้งเด็กอาจจะหันไปหายาบางอย่างโดยเฉพาะยาบ้า โดยคิดว่านอกจากจะช่วยลดความเครียดแล้ว จะทำให้เขากระฉับกระเฉง และอ่านหนังสือได้มากขึ้นด้วยถ้าคุณสงสัยว่าลูกอาจจะมีวิธีเครียดเหล่านี้ คงต้องหาวิธีคลายเครียดให้กับลูก ก็คงช่วยเป็นกำลังใจให้ลูกฝ่าฟันเรื่องการสอบ ent. ได้ดีขึ้น ในเรื่องของการคลายเครียดนั้น นอกจากสำรวจพบเรื่องความเครียดแล้วก็คงต้องหาวิธีเผชิญกับปัญหาได้ดีขึ้น ลองกลับมาสำรวจตัวเราเองด้วยว่า เราเองได้กลายเป็นคนกดดันให้กับลูกหรือไม่จริงๆ แล้วความปรารถนาดีที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนอยากให้ลูกสอบ ent. ได้ ได้เรียนในคณะที่ดี หรือในคณะที่คุณเชื่อว่าเมื่อเขาเรียนสำเร็จแล้ว เขาจะประสบความสำเร็จในการทำงานต่อไป ความปรารถนาดีเหล่านี้ไม่ใช่ความผิด แต่บางครั้งถ้าเราไม่สามารถสื่อความปรารถนาดีเหล่านี้ให้กับลูกได้ ให้ลูกได้เข้าใจด้วยวิธีการที่ดี อาจจะกลายเป็นเหมือนกับว่า เราไปกดดันเขาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจหลายครั้งพบบ่อยๆ ว่าคุณพ่อคุณแม่มุ่งมั่นกับการเรียนในบางคณะมาก เกือบไม่ให้โอกาสหรือไม่ยอมให้เด็กได้ตัดสินใจด้วยตัวของเขาเองเลยว่าเขาอยากจะเลือกเรียนในคณะอะไร แต่คุณช่วยคิดแทนเขาว่าน่าจะดีสำหรับเขา หรือหลายครั้งเป็นคณะที่คุณพ่อคุณแม่เคยเรียน จบออกมาแล้วรู้สึกว่าตัวเองมีความผูกพันธ์กับคณะนี้มาก มีความผูกพันธ์กับมหาวิทยาลัยนี้มาก จนมีความรู้สึกว่าลูกก็ต้องเรียนคณะเดียวกับเรา ต้องเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับที่เราเคยเรียนมาก่อน เป็นความรู้สึกที่ดี
แต่บางทีเด็กๆ เขาก็รู้สึกว่าเขาก็อยากมีอิสระในการคิดและการตัดสินใจบ้าง ความเครียดจากการสอบ ent. สำหรับเขานั้นก็มากพออยู่แล้ว มากจนเกินกว่าที่เขาจะสามารถรับความเครียดที่เกิดจากความคาดหวังหรือความกดดันจากปัจจัยอื่นๆ รอบตัวของเขาได้อยากจะให้คุณพ่อคุณแม่ได้มีความรู้สึกว่าวิธีคิดและการตัดสินใจในเด็กวัยรุ่นนั้น ความจริงเป็นสิ่งที่เราให้ความเชื่อถือได้ ถ้าเขาค้นพบได้ว่าสิ่งที่เขาต้องการคืออะไร คณะอะไรที่เขารู้สึกว่าเขารักที่จะเรียน อันนี้เป็นจุดสำคัญ เพราะการสอบ ent. ได้เป็นการเริ่มต้นชีวิตเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัย เขายังจะต้องเผชิญกับความเครียดที่เกิดขึ้นจากการเรียน ฝ่าฟันจนกว่าจะจบมหาวิทยาลัยได้ ถ้าเขาไม่ได้เรียนด้วยพื้นฐานของใจที่รัก เป็นเรื่องยากมากที่เด็กจะฝ่าฟันกับอุปสรรคเหล่านี้
เด็กหลายๆ คนเมื่อเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัย หรือในคณะที่ตนเองมีความไม่แน่ใจ แล้วก็ไม่มีกำลังใจพอที่จะต่อสู้กับการเรียนที่หนักมากในมหาวิทยาลัย ก็อาจจะเริ่มท้อใจและมีความรู้สึกว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการแต่เป็นสิ่งที่คนอื่นต้องการ เด็กบางคนก็ถอยหลัง ยอมแพ้กับการเรียน ทั้งๆ ที่ความสามารถทางการเรียนของเขานั้นเรียนให้สำเร็จได้ แต่เขาไม่มีกำลังใจพอหรือไม่ต่อสู้พอที่จะเรียนให้สำเร็จได้อยากจะให้คุณพ่อคุณแม่ได้ตระหนักว่าการเรียนหนังสือให้สำเร็จในมหาวิทยาลัยไม่ใช่เพียงแค่สอบ ent.ได้ ไม่ใช่เพียงแค่เขามีมันสมองพอจะเรียนหรือไม่ แต่เขาต้องมีใจรักในวิชาที่เขาจะเรียน เพราะมากไปกว่านั้นก็คือเมื่อเขาเรียนจบในคณะบางคณะมาแล้ว เขาจะต้องประกอบอาชีพหรือยู่ในอาชีพนั้นอีกตลอดชีวิตของเขา ถ้าเขาไม่รักกับงานที่เขาทำมากพอเขาจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตของเขาสร้างความสำเร็จให้กับชีวิตตนเองได้อย่างไร


   หากคุณพ่อคุณแม่หลายท่านทำความเข้าใจได้และทำใจยอมรับตรงนี้ได้ คุณก็จะเป็นกำลังสำคัญให้ลูกสามารถฝ่าด่านการสอบ ent. ซึ่งเป็นเพียงด่านแรกในมหาวิทยาลัย ลองให้เขาหาหนทางด้วยตัวของเขาเอง คุณเป็นที่ปรึกษาหารือ หรือทางโรงเรียนก็จะมีคุณครูแนะแนวให้คำปรึกษาในเรื่องคณะต่างๆ ให้เด็กเรียนรู้หรือรู้จัก หรือเข้าใจว่าวิชาชีพหรือแต่ละคณะ ที่เขาคิดว่าชอบหรือไม่ชอบนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร มีข้อมูลที่มากพอที่จะช่วยให้เด็กตัดสินใจได้ดีขึ้นกับว่า คณะไหนที่เหมาะกับเขาหรือมีความถนัดที่จะเข้าไปสู่คณะเหล่านั้นได้ ตรงนี้จะช่วยการตัดสินใจของเด็กเป็นไปด้วยดียิ่งขึ้น แล้วยังเป็นการสนับสนุนให้เขาได้แก้ปัญหาด้วยตัวของเขาเองเป็นกำลังที่ช่วยสนับสนุนในเรื่องการสอบของเขาแทนที่จะเป็นการกดดันให้กับเด็ก
    นอกจากนี้ในช่วงของการเรียนหรือการเตรียมสอบ การอ่านหนังสือมากๆ ก็ทำให้เกิดความเครียดขึ้น อันนี้เป็นความเครียดพบภายใต้ภาวะของการเรียนซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ การผ่อนคลายความตึงเครียดก็จะช่วยลดอาการทางกายที่เด็กบางคนมีอยู่ เช่น อาจจะต้องช่วยกันปรึกษาหารือ ดูวิธีการจัดระบบการเรียนการอ่านหนังสือของเราว่าเขาอ่านในช่วงที่มากเกินไปมั๊ยจริงๆ แล้ว สมาธิและความสนใจของคนเรา ก็คงไม่เกิน 40 - 45 นาที เพราะฉะนั้นการที่เขาฝืนอ่านหนังสือติดต่อกัน 3 ชั่วโมง จริงๆ แล้ว 2 ชั่วโมงหลังอาจจะไม่ได้เกิดประโยชน์กับการอ่านหนังสือมากเท่าไหร่ แต่ถ้าเขาจัดระบบการอ่านหนังสือ ได้ดีขึ้น มีช่วงที่เป็นช่วงพักระหว่างการอ่าน ในทุก 45 นาทีอาจจะมี 10 นาทีที่เขาทำกิจกรรมอย่างอื่นที่จะทำให้เขาสบายใจขึ้น เช่น ฟังเพลงบ้าง ดูทีวีบ้าง หรือเล่นเกมอะไรบางอย่าง ออกไปเดินเล่น หรือมีกิจกรรมพูดคุยกับคนอื่นบ้าง แล้วค่อยกลับมาอ่านหนังสือใหม่ อาจจะดีกว่าการที่ต้องอ่านตลอดเวลาบางคนบางทีเดินเข้ามาเห็นลูกอ่านหนังสือมาเกือบชั่วโมงแล้วเขารู้สึกเครียด เขาอาจจะหยุดฟังเพลงเพียงแค่เพลงเดียว บังเอิญคุณพ่อคุณแม่เข้ามาในจังหวะเขาเปิดเพลงพอดี คุณก็โมโหต่อว่าเขาเสียใหญ่โตความเป็นจริงแล้วสิ่งสำคัญในเรื่องของการเรียนหรือการที่ประสบความสำเร็จในการสอบได้ก็คือ การที่เขาได้ใช้ศักยภาพของเขาอย่างเต็มที่ ไม่ใช่อยู่ภายใต้ความเครียดหรือความกดดันอย่างที่บอก สมรรถภาพของคนเรามีข้อจำกัด คุณจะบีบบังคับให้เขาอยู่กับการเรียน คร่ำเคร่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ก็ไม่ได้ทำให้ศักยภาพที่เขามีอยู่เพิ่มขึ้น อาจจะเป็นผลเสียมากกว่าด้วยซ้ำไป ช่วงเวลาที่ลูกเตรียมสอบในการ ent . อย่างนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรจะหาเวลาได้พูดคุยปรึกษาหารือกัน หรือมีกิจกรรมการผ่อนคลาย คิดว่าจะเป็นกำลังสนับสนุนที่สำคัญสำหรับลูกทีเดียว เขามีความเครียดกับการสอบอยู่แล้ว ถ้าคุณพ่อคุณแม่เป็นแรงหนุนที่ดี คอยจัดกิจกรรมผ่อนคลายให้กับเขา พูดคุยกับเขาให้เขาได้มีโอกาสระบายอารมณ์ ความเครียด เพราะว่าช่วงระหว่างเวลาที่รอสอบเป็นช่วงที่ยาวมาก ถ้ามีจังหวะที่ผ่อนคลายออกเป็นครั้งคราว ก็จะช่วยให้เขามีกำลังใจที่ดีขึ้นที่จะกลับมาเผชิญกับการสอบ ได้ใช้ศักยภาพที่ตัวเองมีอย่างเต็มกำลังและเต็มความสามารถ โอกาสที่จะเกิดความสำเร็จในการสอบจะมีมากขึ้น
    นอกจากการผ่อนคลายความตึงเครียดด้วยวิธีทั่วๆ ไปเหล่านี้ ถ้าหากสังเกตว่าลูกยังเครียดค่อนข้างมาก อาจจะช่วยในเรื่องของการผ่อนคลายความเครียดในเรื่องที่เป็นระบบมากขึ้น ไปปรึกษาคลินิกคลายเครียดก็ได้ หรือจะลองฝึกปฏิบัติเองในครอบครัว อาจจะเป็นวิธีที่คุณใช้ประสบความสำเร็จดีก็อาจจะแนะนำให้ลูกใช้ได้ เช่น บางครอบครัวอาจจะชอบในเรื่องของกิจกรรมทางศาสนา บางท่านอาจจะมีการสวดมนต์ มีการนั่งสมาธิ หรือการผ่อนคลายตนเองด้วยวิธีการของทางศาสนา อันนี้ก็สามารถนำมาใช้ได้กับในเด็กเช่นเดียวกัน ก็จะช่วยให้เขามีกำลังใจและมีความตึงเครียดจากการสอบลดน้อยลงไปนอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายวิธีที่นำมาใช้ในเรื่องของการผ่อนคลายเรื่องของความตึงเครียดได้ เช่น การฝึกการหายใจ หรือการนวดบางอย่างที่ช่วยลดความตึงเครียดได้ ก็ลองใช้วิธีเหล่านี้ดู ในการช่วยกับลูกหรือวัยรุ่นที่กำลังมีความเครียดนอกจากวิธีการคลายเครียดต่างๆ เหล่านี้ และวิธีการที่คุณพ่อคุณแม่สนับสนุนในเรื่องของความเครียดแล้ว คุณอาจจะเข้าไปช่วยในเรื่องต้นเหตุของความเครียด ถ้าหากต้นเหตุของความเครียดขณะนี้คือเรื่องระบบการสอบ ent . อย่างที่ว่า บางทีถ้าคุณช่วยให้เขาเข้าใจเรื่องระบบได้ดีขึ้น ก็อาจจะช่วยลดความตึงเครียดของเขาหรือช่วยสนับสนุนในเรื่องการเรียนบางอย่างที่คิดว่าเขารู้สึกว่าต้องการที่จะเพิ่มเติมหรือเสริมให้กับความสามารถในการสอบของเขา เพราะเขาจะต้องสอบบางวิชาที่อาจจะต้องมีการกวดวิชาเฉพาะในบางวิชา ก็อาจจะช่วยสนับสนุนในเรื่องการเรียนเหล่านี้ ก็อาจจะช่วยลดความเครียดลงได้บ้าง การกวดวิชาเพียงอย่างเดียวแต่ว่าเขาไม่ได้รับแรงสนับสนุนหรือความเข้าใจจากคนรอบข้างที่จะช่วยให้เขารู้สึกว่าเขามีคุณค่าในตัวของเขาเอง การสอบเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา คุณพ่อคุณแม่ภาคภูมิใจหรือมีความชื่นชมในตัวเขาอยู่เสมอ เมื่อได้เห็นเขาได้มีความสามารถหรือการได้ใช้ความพยายามเต็มความสามารถ แต่มิใช่ตัดสินกันด้วยว่าเขาจะสอบ ent. ได้หรือไม่ได้
   ตรงนี้ก็คงขึ้นกับว่าคุณได้กดดันเขาหรือไม่ เพราะบางท่านอาจจะให้คำตัดสินลูกเพียงว่าถ้าเขาสอบ ent. ได้ ไม่ว่าก่อนการสอบเขาจะเป็นอย่างไรก็ตามที คุณก็จะให้การยอมรับเขา เช่นนี้แล้วการสอบ ent. มันมีความหมายกับชีวิตของเขามากไปเพียงแค่สิ่งหนึ่งที่จะผ่านเข้ามาในชีวิต แต่มันเป็นการตัดสินตัวของเขาเองทั้งตัวทีเดียวเพราะฉะนั้นคุณควรจะให้การสนับสนุนในเรื่องทางวิชาการตามที่ลูกต้องการ ลดความตึงเครียดให้กับลูก ให้กำลังใจให้กับลูก มากกว่าจะกดดันด้วยความคาดหวังหรือตัดสินใจเองด้วยว่าการสอบผ่านการ ent. เท่านั้น คือสิ่งที่คุณต้องการเราอาจจะไม่พูดถึงในเรื่องการผ่านหรือไม่ผ่าน อันนั้นเป็นเรื่องในอนาคตที่ยังไม่มา คุณหรือลูกก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเขาจะผ่านหรือไม่ผ่านการสอบ ent. แต่สิ่งที่คุณและลูกช่วยกันหรือสนับสนุนกันในช่วงนี้ก็คือว่า พ่อกับแม่พร้อมที่จะเป็นกำลังใจให้กับเขา พร้อมที่จะสนับสนุนทางวิชาการที่เขาต้องการและพร้อมที่จะเป็นเพื่อนร่วมเดินทางฝ่าฟันความเครียดที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขาในช่วงนี้ไปด้วยกัน



บทความสุขภาพจิตจากพญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล

เด็กที่มีปัญหาเรื่องค่านิยมทางวัตถุ


เด็กที่มีปัญหาเรื่องค่านิยมทางวัตถุ


    ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาของกลุ่มเด็กวัยรุ่น ซึ่งจะมีการใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย ในเรื่องของข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่จำเป็นหรือซื้อของราคาแพง เช่น มีของใช้ที่มียี่ห้อราคาแพงๆ มีเครื่องประดับในตัวมากมาย แล้วในที่สุดก็จะเบื่อง่าย ไม่รักษาข้าวของ ไม่ได้เห็นคุณค่าของของที่ซื้อมาไม่ดูแลทะนุถนอมเมื่อของเสียหรือหายก็ซื้อใหม่และไม่สามารถที่จะมีความยั้งคิดหรือจัดการกับเรื่องการใช้เงินได้ในเด็กเล็กอาจจะเห็นลักษณะอย่างนี้บ้าง แต่ไม่มากนักเนื่องจากว่าสิ่งที่เด็กสนใจราคายังไม่สูงมากแต่ในเด็กวัยรุ่นของที่เด็กชอบหรือที่เด็กนิยมมักจะมีราคาแพงมาก


   การที่เด็กมีค่านิยมเช่นนี้ ทำให้เกิดผลกระทบกับตัวเด็กเองและปัญหาทางสังคมตามมา ปัญหาที่ทำให้เด็กมีค่านิยมทางวัตถุนั้นพบว่าส่วนหนึ่งเห็นแบบอย่างมาจากพ่อและแม่ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ฐานะดีพ่อแม่มักจะเป็นคนที่ติดยี่ห้อหรือนิยมในสิ่งของฟุ่มเฟือยต่างๆและแสดงลักษณะอย่างนี้ให้เด็กได้เห็นได้เลียนแบบในจุดนี้พ่อแม่ควรจะต้องทบทวนตัวเองว่าได้เป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องของการใช้จ่ายเพียงไรให้กับเด็กๆแม้พ่อแม่จะอยู่ในฐานะซื้อของราคาแพงได้แต่ความสามารถยับยั้งชั่งใจในเด็กยังมีน้อยเด็กจะใช้เงินมากเกินกว่าที่พ่อแม่ให้ อาจส่งผลให้เด็กต้องหาทางหาเงินด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง
   ประการที่สองพ่อแม่ตามใจลูกมากจนเกินไป ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าเราให้สิ่งของต่างๆ กับลูกมากจนเกินจำเป็น บางครั้งเป็นไปตามค่านิยมทางสังคม เช่น อุปกรณ์ในการสื่อสาร ความจริงแล้วในเด็กในวัยขนาดนี้อาจจะไม่ได้มีความจำเป็นจริงจังที่จะต้องมีอุปกรณ์ติดตามตัวมากขนาดนั้น แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้ลูกน้อยหน้าคนอื่นหรือตามกระแสที่ใครๆ ก็มีกัน ก็หาให้ลูกมากจนกระทั่งลูกไม่รู้คุณค่าของสิ่งของที่ได้มา เพราะถ้าอยากได้อะไรก็ได้สิ่งนั้นโดยง่าย เพราะฉะนั้นค่านิยมเหล่านี้จะปลูกฝังตั้งแต่ในวัยเด็กในเรื่องของการใช้จ่ายเงินควรฝึกให้เด็กได้รู้ว่าถ้าอยากได้เงินพิเศษเขาก็จะต้องทำงานหรือเขาจะต้องทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ต้องใช้ความมุมานะและความพยายาม มิใช่ได้มาโดยง่าย และควรปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้องในเรื่องการเลือกซื้อสิ่งของโดยเน้นที่คุณภาพของสิ่งของมากกว่าเป็นการซื้อตามใจตัวเอง หรือซื้อตามความนิยม นอกจากนี้พ่อแม่ต้องมีความสามารถในการที่จะขัดใจลูกได้อย่างเหมาะสม ไม่ตามใจลูกในทุกเรื่องการฝึกปฏิเสธลูกตั้งแต่ในวัยเด็กเล็กให้เด็กได้เรียนรู้ว่าหากเขาต้องการอะไรที่ไม่สมควรหรือไม่ควรจะได้ก็จะได้รับการปฏิเสธอย่างเข้มแข็ง แต่มีเหตุผล เช่น แสดงอาการเข้าใจหรือเห็นใจว่าเขาต้องการสิ่งเหล่านี้จริงๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีเหตุผลว่าพ่อแม่ไม่สามารถหาทุกสิ่งทุกอย่างให้เด็กตามใจชอบได้ตลอดเวลา
   ประการสำคัญควรปลูกฝังให้เด็กได้เรียนรู้คุณค่าทางด้านจิตใจมากกว่าทางด้านวัตถุ ครอบครัวควรจะเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตัวเองให้กับเด็ก พบว่าเด็กที่ต้องการใช้เงินส่วนหนึ่งแล้วเป็นเพราะขาดความเชื่อมั่นในตัวเองหรือไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง มีความกลัวว่าจะน้อยหน้าเพื่อนหรือด้อยค่ากว่าคนอื่นจึงต้องมีเครื่องประดับที่มีราคาแพง ความภาคภูมิใจในตัวเองของเด็กนั้นเกิดจากการที่พ่อแม่สามารถยอมรับอย่างที่ลูกเป็น เห็นคุณค่าและความสามารถของลูก ไม่เปรียบเทียบตัวเด็กกับคนอื่นๆ ให้เขารู้สึกด้อยค่าในตัวเอง ในขณะเดียวกันเมื่อเขามีศักยภาพหรือความสามารถบางอย่าง พ่อแม่ก็ให้การยอมรับ บางคนอาจจะไม่มีความถนัดหรือความสามารถทางการเรียน แต่เขาอาจจะมีความถนัดหรือความสามารถที่เป็นข้อดีของตัวเด็กเองในด้านอื่นๆถ้าหากคุณให้คุณค่ากับสิ่งที่ลูกมีและสิ่งที่ลูกเป็น เขาก็จะมีความภาคภูมิใจในตัวของเขาเองโดยไม่ต้องอาศัยเครื่องประดับเหล่านี้ ความภาคภูมิใจในตัวเองนั้นยังเกิดในครอบครัวที่มีความอบอุ่น มีความเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน มีคนที่รักและเข้าใจเด็ก นอกจากความภาคภูมิใจในตัวเองจะช่วยเด็กในเรื่องของค่านิยมในเชิงวัตถุนิยมแล้วก็ยังจะช่วยทำให้เด็กเป็นคนที่มีจิตใจที่ดีงาม มีความรู้สึกที่ดีต่อตัวเองและต่อผู้อื่นก็จะทำให้เขาสามารถมีเพื่อนหรืออยู่ในสังคมที่เป็นกลุ่มเพื่อนได้ ไม่ต้องใช้เงินเลี้ยงเพื่อนเพื่อให้เพื่อนยอมรับ


    ประการสุดท้ายสอนให้ลูกเข้าใจสถานการณ์ของครอบครัว ไม่ใช่มีความรู้สึกว่าครอบครัวตัวเองด้อยกว่าคนอื่น และให้เด็กรู้ว่าไม่ว่าฐานะครอบครัวจะเป็นอย่างไรแต่ทุกคนในครอบครัวก็รักเด็ก และถ้าเด็กมีเหตุผลในเรื่องของการใช้จ่ายเงินทอง เป็นการช่วยเหลือครอบครัวอีกทางหนึ่ง ให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกอายหรือรู้สึกด้อยกับเรื่องฐานะทางเศรษฐกิจการได้รับการฝึกฝนในเรื่องของการใช้จ่ายเงินทองอย่างเหมาะสมกับฐานะครอบครัว จะเป็นรากฐานที่สำคัญที่จะช่วยให้เด็กจัดการรับผิดชอบกับเรื่องของตัวเองดูแลเรื่องการใช้จ่ายเงินในแต่ละช่วงของตัวเองได้เป็นอย่างดี เด็กๆ ควรมีโอกาสใช้เงินให้เหมาะกับวัยของเขา เมื่อถึงวัยหนึ่ง เขาควรจะถือเงินด้วยตัวของเขาเอง อาจจะใช้ในการซื้อของบางอย่างให้กับตัวเองได้บ้าง หรืออาจจะเป็นการใช้จ่ายประจำวัน โดยเฉพาะในเรื่องของการไปโรงเรียน การคำนวณค่าใช้จ่ายของลูกก็เป็นเรื่องสำคัญ การให้เงินก็ไม่ควรจะมากหรือน้อยจนเกินไป ถ้าน้อยจนเกินไปจนเด็กไม่สามารถที่จะใช้จ่ายได้เพียงพอก็เป็นความเครียดกับเด็กเหมือนกัน แต่ในขณะเดียวกันถ้าให้เงินมากจนเกินไป โดยไม่ได้ฝึกค่านิยมเรื่องการอดออมเงิน การเก็บสะสมเงิน เด็กก็อาจจะใช้เงินไปอย่างไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสมการฝึกใช้เงินควรจะจำแนกให้เด็กเห็นว่ามีบางอย่างเป็นความจำเป็นที่จะต้องใช้ในแต่ละวัน เช่นค่าอาหาร ค่าเดินทางไปโรงเรียน เขาอาจจะมีเงินเหลือเก็บอีกเล็กน้อย อดออมเอาไว้ใช้ในเวลาที่เขาต้องการ ถ้าคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าเด็กโตขึ้นมีอายุมากพอที่จะเลือกซื้อข้าวของบางอย่างของตัวเองได้บ้าง อาจจะเป็นเรื่องของเสื้อผ้าหรือของใช้ก็อาจจะให้เงินรวมไปในค่าใช้จ่ายในแต่ละอาทิตย์หรือในแต่ละเดือน ที่มากพอที่เด็กจะเก็บสะสมในการซื้อของบางอย่างของตัวเองด้วยการฝึกเรื่องการใช้เงินให้มีความรับผิดชอบต่อจำนวนเงินที่ตัวเองได้รับจะเกิดขึ้นได้ดี ถ้าหากฝึกในเรื่องความรับผิดชอบในเรื่องอื่นๆ ไปด้วย เช่น การดูแลตัวเอง การรับผิดชอบกับงาน หรือมีความรับผิดชอบในเรื่องอื่นๆประเด็นที่ต้องคำนึงถึงร่วมกันในเรื่องค่านิยมแบบวัตถุนิยม คือ กระแสและสื่อในสังคมมีผลโดยตรงต่อค่านิยมในวัยรุ่นการสร้างแรงจูงใจด้วยสื่อที่เน้นความทันสมัยด้วยความฟุ่มเฟือย ค่านิยมที่แสดงความสำเร็จจากการมีเงินทองเครื่องประดับในตัวมากกว่าการตั้งใจทำงานและคุณค่าในตัวของคน จะทำให้ครอบครัวและเด็กวัยรุ่นต้องมีความยืนหยัดที่จะต้านทานกระแสเหล่านี้ แต่ครอบครัวยังคงเป็นภูมิคุ้มกันเด็กจากกระแสเหล่านี้ หากพ่อแม่เข้าใจและสามารถพูดคุยกับลูกวัยรุ่นได้ และได้ดูแลลูกในเรื่องการใช้เงิน


บทความสุขภาพจิตจากพญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล